1. เมโสหน้าใสคืออะไร ?
เมโสหน้าใส ก็คือการทำทรีตเมนต์รักษาปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำต่าง ๆ โดยใช้เข็มขนาดเล็กในการเจาะผ่านเข้าไปในผิวหนังชั้นกลาง (เรียกว่าชั้น Meso) เพื่อนำสารจำพวกมัลติวิตามิน แอนติออกซิเดนท์ หรือสารบำรุงผิวตัวอื่น ๆ ไปยังชั้นผิวหนังด้านใน ซึ่งเป็นส่วนผสมของครีมที่ดูดซึมยาก ช่วยเพิ่มคอลลาเจนในชั้นผิวให้เต่งตึงคล้ายผิวแอปเปิ้ลค่ะ
2. เมโสหน้าใส เจ็บหรือไม่ ?
คำว่าเข็มมักจะมากับความรู้สึกหวาดเสียวอยู่เสมอ (เราก็เป็นค่ะ) จริง ๆ แล้วการฉีดเมโสจะไม่เจ็บค่ะ เพราะเราแทบจะไม่รู้สึกถึงเข็มที่เจาะลงไปเลย เนื่องจากเข็มที่ใช้มีขนาดเล็กมาก และแทงลงไปในชั้นผิวลึกประมาณ 5-10 มิลลิเมตรเท่านั้น อาจจะมีเพียงแต่ความร้อนที่อาจรู้สึกได้เล็กน้อย ซึ่งจะหายไปในเวลาประมาณ 10-20 นาที ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีเนอะ เพราะว่าเราสามารถสวยได้โดยไม่เจ็บตัวนั่นเอง
3. เมโสช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
สารที่ฉีดเข้าไปเป็นสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิว ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ลดริ้วรอย และหน้าเรียบเนียนสม่ำเสมอ แต่เนื่องจากผิวหน้าของแต่ละคนมีลักษณะต่างกัน เราควรให้คุณหมอตรวจประเมินเพื่อจะได้ทราบว่าผิวหน้าของเรานั้นเหมาะกับเมโสตัวไหนก่อน ซึ่งเค้าจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ค่ะ
เน้นหน้าขาว มีส่วนผสมของวิตามินต่าง ๆ เช่น Vitamin A, B,C และ E, Transamin และ Glutatione
เน้นหน้าใส จะมีส่วนผสมของคอลลาเจน และ โคเอนไซม์ เป็นหลัก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ให้ผิวฟูขึ้น กระชับรูขุมขน
เน้นลดสิว-แก้ผื่น จะช่วยลดการอักเสบ ขับสารพิษที่สะสมออก ช่วยลดสิว เมโสยี่ห้อที่มีจุดเด่นด้านนี้คือ มาเด้-คอลลาเจน
4. เทคนิคแบบสะกิด VS แบบ 16 จุด
การฉีดเมโสหน้าใสมีอยู่ 2 เทคนิคค่ะ ได้แก่ แบบสะกิดและแบบ 16 จุด ซึ่งทั้งสองแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ทางที่ดีอยากแนะนำให้ฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะคะ เพราะถ้าระหว่างฉีดไม่สะอาดพอจะเกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาได้ (ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับคนไข้ที่ซื้อเมโสมาฉีดเองค่ะ) ซึ่งเราได้ทำตารางเปรียบเทียบความต่างของเมโสทั้งสองเทคนิคมาให้ดูแล้วจ้า
5. ผลลัพธ์อยู่ได้นานเท่าไหร่ ?
การฉีดเมโสใน 1 เดือนแรกจะฉีดอาทิตย์ละครั้ง และหลังจากนั้นจะฉีดทุก ๆ 2 อาทิตย์เพื่อคงสภาพไว้ และเมโสหน้าใสไม่มีแบบถาวรนะคะ เค้าจะสลายหมดไม่มีสารตกค้างจ้า
เริ่มเห็นผลประมาณ 3 วันหลังฉีด
เห็นผลเต็มที่ประมาณ 7-14 วัน
อยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือน
6. เหมาะกับใครบ้าง ?
คนที่ขี้เกียจทาครีม และต้องการผลที่ไวกว่าการทาครีม
คนที่ไม่มีเวลาดูแลตนเอง อดนอน ทำงานหนัก
คนที่มีปัญหาสิวและผดผื่น หน้าไม่เนียน
7. มีข้อเสียอะไรบ้าง ?
บางรายอาจเกิดแผลเป็นขึ้นบนใบหน้า หากแพทย์แทงเข็มเข้าไปในชั้นผิวที่ลึกกว่าที่ควร ซึ่งสาว ๆ ควรเลือกทำกับแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น หรือในกรณีของคนที่ผิวบาง อักเสบง่ายก็อาจจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง ผิวหน้าอาจมีการอักเสบรุนแรง หรือเกิดความผิดปกติได้ นอกจากนั้นหลังจากการทำทรีตเมนต์ควรจะต้องรักษาความสะอาดผิวหน้าเป็นพิเศษ เพราะผิวอาจจะติดเชื้อง่าย หรือเกิดสิวจากการสะสมของแบคทีเรีย
หน้าที่เข้าชม | 974,641 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 437,843 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 ม.ค. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |